“พี่เหมียว”003

                        คุณอัจฉริยา สินรัชตานันท์

 

004

พี่เหมียว อัจฉริยา สินรัชตานันท์ Shi 57 จบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาทฤษฎีบัญชี (เทียบเท่าสาขาการสอบบัญชี (Audit) ในปัจจุบัน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และยังได้ทุนจากมหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษ ไปเรียนต่อปริญญาโท ในสาขา Business Management ฝากไว้อย่างสวยงามด้วยเกรด Distinction อีกต่างหาก

ปัจจุบันพี่เหมียวเป็นดีเจอยู่ที่คลื่น GET 102.5 006กับอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญ ที่น้องๆบางคนอาจจะไม่ทราบ ซึ่งก็คือ บทบาทของการเป็นเจ้าของบริษัท 007จำกัด ในตำแหน่งBusiness Development Director ซึ่งตอนนี้บริษัท มีรายได้กว่า ร้อยล้านบาทแล้ว

ช่วงเวลาที่พี่เรียนอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่ใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างไร ได้ทำกิจกรรมอะไรบ้าง

008“ พี่อยากฝากไว้เรื่องหนึ่งนะคะ ว่าคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ว่าเรียนเก่งหรือเปล่า คุณค่าของคนอยู่ที่ว่าน้องมีความทุ่มเท ให้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวน้องมากแค่ไหน น้องอาจจะรู้สึกว่าน้องยังเป็นเด็กอยู่ ก็ให้ได้เท่าที่ทำได้ จริงๆแล้วพี่มาจากโรงเรียนสาธิตเกษตร ซึ่งโรงเรียนนี้ ไม่ค่อยเน้นให้เด็กตั้งใจเรียนกันอย่างเดียว เขาจะให้เด็กเน้นกิจกรรมด้วย คือเป็นเด็กกิจกรรม พี่ก็ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทำจุฬาฯวิชาการ ทำงานบาสฯประเพณีบัญชีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ บางทีการทำกิจกรรมในคณะ อาจจะทำให้รู้สึกว่าดูแคบไป ออกไปพบเพื่อนต่างคณะหน่อยไหม พี่มีเพื่อนต่างคณะเยอะมาก พี่ก็ไปออกค่ายอาสาสร้างสะพานที่

จังหวัดเลย กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไปเป็นฝ่ายติดต่อประสานงานที่เอเชียนเกมส์ ตอนที่จัดในประเทศไทย คือเป็นการหาประสบการณ์ สร้างเพื่อน คบกับคนที่มีประสบการณ์หลากหลาย ก็จะทำให้เรารอบรู้ ออกไปเปิดโลกภายนอก ดูว่าเขาเป็นยังไงกันบ้าง ถึงยุคนี้จะมี internet ทำให้ข่าวสารสื่อสารได้เร็วขึ้น แต่ว่ามันไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ไปสัมผัสเอง ได้ลงมือทำเอง พี่ยังอยากสนับสนุนให้น้องไปทำกิจกรรม ไม่ว่าจะในคณะหรือนอกคณะ”

พี่มีเทคนิคนิคการเรียนอย่างไรบ้างคะ

“พี่เชื่อว่าแต่ละคนมีเทคนิคไม่เหมือนกัน เพราะคนเราเกิดมามีวิธีการรับรู้ ได้ 2 วิธี คืออ่านกับฟัง ซึ่งคนแต่ละคนก็มีความถนัดไม่เหมือนกัน บางคนอ่านแล้วเข้าง่ายกว่า บางคนฟังแล้วเข้าง่ายกว่า ซึ่งพี่รู้ตัวว่าเป็นคนฟังดีกว่าอ่าน พี่อ่านช้า ดังนั้นตอนเรียน พี่จะนั่งอยู่หน้าห้องสุดเลย ฟังอย่างเดียว และถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามอาจารย์ เพราะพี่มีความคิดว่าถ้าเราไม่เข้าใจ คนอื่นก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน ก็เลยถามเผื่อคนอื่นด้วย เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่รู้ ทุกคนมีสิทธิผิด ไม่มีใครที่จะรู้ไปทุกเรื่อง ขอให้กล้าที่จะถาม แล้วแบ่งปันคนอื่นๆ บางครั้งพี่ไม่เข้าใจ พี่ก็ยกมือถาม และพี่ก็เชื่อว่ามันคือ สิ่งที่คนอื่นเขาอยากถามอยู่ก็ได้ แต่เขาไม่กล้าพูด อีกอย่างคือ การตั้งใจ พี่เป็นคนที่ทำอะไรแล้ว ไม่ชอบทำแบบครึ่งๆกลางๆ และถ้าเกิดน้องตั้งใจทำให้มันดีที่สุดแล้ว แต่มันได้เท่านี้ น้องจะได้ไม่มาเสียใจ ดีกว่าน้องเรียนจบไป หันกลับมามองแล้วรู้สึกว่า ทำไมตอนนั้นฉันไม่ทำให้ดีกว่านี้ พี่ไม่เคยรู้สึกผิดกับตัวเองเลยนะ บางวิชาที่พี่จำได้เลย Tax accounting พี่ตั้งใจเรียนมาก เพราะทุกคนล่ำลือว่ามันยากมาก ไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาไหนมากขนาดนี้ แต่พี่ได้ D วิชานั้น เป็นเทอมเดียวที่ตัวอื่นพี่ได้ A หมด มีวิชานี้ได้ D แต่พี่ไม่เสียใจเลย เพราะต่อให้มีเวลามากกว่านี้ พี่ก็ทำได้แค่นี้ คือดีกว่ามานั่งค่ำครวญว่าทำไมตอนนั้นไม่อ่านหนังสือ หรือทำไมตอนนั้นไม่ตั้งใจมากกว่านี้ แม้แต่ทุกวันนี้พี่ก็เป็นนะ เรื่องบางเรื่อง เพื่อนบอกว่าพี่ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ ก็ถ้าทำแล้วออกมาไม่ดี ก็อย่าทำดีกว่าไหม เพราะฉะนั้นให้น้องตั้งใจตั้งแต่ตอนเริ่มว่าน้องจะตั้งใจทำมันให้ดี คิดว่าถ้าน้องย้อนเวลากลับมาไม่ได้แล้ว น้องจะทำยังไง”

การเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนในชีวิตประจำวันของพี่ทุกวันนี้บ้าง

“สิ่งที่พี่ได้มาจากการเรียนบัญชี ก็คือ กรอบความคิดของธุรกิจโดยรวมหลักๆ เช่น Dr. Cr. อะไรพวกนี้ หรือว่าพวก return on investment คือพื้นฐานทั้งหลายที่น้องได้เรียนในบัญชี น้องจะได้ใช้หมดเลย อย่างน้อยเราไปคุยกับใคร เขาไม่ต้องมานั่งอธิบายเราแล้วว่า ROI คืออะไรหรอ หรือ Break Even point คิดยังไง ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็น พื้นฐานที่ทำให้คุณไม่ต้องไปศึกษาเพิ่มเติม หรือแม้แต่กระทั้งเรื่องการทำ financing ของบริษัทก็ตาม ดังนั้นไม่ต้องคิดมากได้ใช้แน่ๆ

ส่วนตัวพี่เอง พี่ทำบัญชีส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งพี่สนับสนุนให้ทุกคนทำนะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าพี่ทำระบบบัญชีของพี่เลย คือมีบัญชี Asset มีการบันทึกว่าแต่ละเดือนเราใช้เงินไปกับอะไรบ้างในแต่ละประเภท แล้วสิ้นเดือนก็มาทำเป็นแบบ P/L ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เนื่องจากรายได้พี่ไม่ได้มีแค่ที่เดียว มีรายได้จากหลายๆ แห่งมารวมกัน รายจ่ายก็ถูกแบ่งเป็นประเภทต่างๆ แล้วมันกลายมาเป็น investment, fixed asset มากน้อยแค่ไหนอะไรอย่างนี้ แล้วสิ้นปีพี่ก็มานั่งดูว่า ตอนนี้มีอะไรยังไงเท่าไหร่แล้ว อยู่ที่ไหน ทั้งหมดนี้มาจากหลักการบัญชีหมดเลย แล้วมันจะไม่มีพลาดไม่มีหลุดเลย อย่างน้อยน้องเข้าใจพื้นฐาน น้องจะได้ใช้แน่ๆ เพียงแต่ว่าน้องจะเอาไปใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”

อะไรคือแรงบันดาลในการทำงานของพี่คะ
“สิ่งที่พี่คิดว่ามันเป็นพื้นฐานของการทำงานทุกอย่างก็คือความชอบ หรือถ้าเอาทางพุทธมาดู การจะทำให้สำเร็จก็ต้องมี ฉันทะ เป็นอย่างแรก คือการพอใจในสิ่งที่ทำ ดังนั้นอย่าทำในสิ่งที่น้องไม่อยากทำ มีจุดยืน ในสิ่งที่น้องมั่นใจ ไม่ว่าใครจะพูดว่าอะไรก็ตาม อย่างพี่ต้องตื่นเช้ามาก มาจัดรายการวิทยุ และนอนดึกก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะตื่นไม่ไหว แต่พี่ชอบ เพราะได้มาคุยกับพี่ๆ ที่มีมุมมองแตกต่างจากเรา ได้มาทำรายการวิทยุที่เราสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ ให้มุมมองอีกมุมหนึ่งแก่คนอื่นได้ ทำรายการวิทยุที่พี่มีความคิดดีๆ จะแชร์ แล้วคนฟังก็พร้อมจะรับฟัง หรือถ้าพี่ไปบริษัท หน้าที่ของพี่คือ Business Development คือหาโอกาสใหม่ๆให้กับบริษัท ปั้น project ขึ้นมา ร่วมกันเสนอความคิดกันขึ้นมา ซึ่ง idea มันคืออากาศ พวกเราทำจนมันกลายมาเป็นสิ่งที่ลูกค้าจับต้องได้ขึ้นมา สุดท้ายลูกค้าซื้ออากาศของเรา เขาซื้อการบริการของเราอย่างนี้ พี่มีความสุขมาก คือบางครั้งเราคิดกันใช้เวลา 2 อาทิตย์ แต่พี่สนุก พี่ไม่ได้รู้สึกว่าไม่อยากทำเลย คือทุกคนพร้อมที่จะทุ่มเทลงมาในชิ้นงานนั้น แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว พี่รู้สึกว่าการจะทำอะไรสักอย่าง ต้องคิดก่อนว่าจะทำให้มันดี ชอบ ตั้งใจทำ ทำให้ดี เรื่องอื่นๆเดี๋ยวมันตามมาเอง”

พี่ได้วางแผนในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง แล้วคิดว่าจะทำอะไรให้ถึงเป้าหมายนั้นค่ะ

“การวางแผนอนาคตของพี่ จริงๆก็ไม่ได้มีอะไรมาก คือพี่มีความฝันว่าอยากเป็นครู เป็นอาจารย์ แต่ไม่ได้จำกัดตัวว่าอยากไปสอนในมหาวิทยาลัยหรือว่าอะไร พี่รู้สึกว่าพอเรามีอะไรเพียงพอที่จะแชร์ได้แล้วถึงจุดหนึ่ง พี่ไม่ได้อยากแชร์แค่ความรู้และประสบการณ์ พี่อยากแชร์ไปถึงมุมมองข้อคิดในแง่ของจิตใจ จริยธรรมต่างๆ ที่คนขาดกันมากตอนนี้ ซึ่งคนที่พี่รู้สึกว่า พี่อยากจะไปร่วมทำงานด้วย ก็อย่างเช่น ดร.วิทิต รัชชตาตะนันท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนปัญญาประทีป ที่ปากช่อง หรือว่า ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส เพราะเขาไม่ได้สร้างคนให้เก่งให้ฉลาดเรียนอย่างเดียว แต่เขาสร้างคนให้มีความสุขให้เป็นคนดี มีชีวิตอยู่ในสังคม รู้จักแบ่งปัน คนแบบนี้ต่างหากที่เราควรจะสร้าง ไม่ใช้คนที่เรียนเก่งอยู่คนเดียว พี่รู้สึกว่าสังคมกำลังขาดสิ่งนี้”

คติประจำใจในการดำเนินชีวิตของพี่คืออะไร

“พี่ยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิต จริงๆไม่ใช่เฉพาะพี่ พี่เชื่อว่าทุกคนควรจะมีสำหรับการเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์น้องต้องมีจิตใจสูง แล้วสิ่งที่บอกว่าน้องมีจิตใจสูงคือ ศีลแค่ 5 ข้อนั้นเอง ได้บ้าง ด่างพร้อยบ้าง ขาดบ้าง แต่น้องก็ยังรู้ น้องก็ยังมีสติพอที่จะรู้ว่า ฉันกำลังทำในสิ่งที่ควรไม่ควร ถูกไม่ถูก แค่ 5 ข้อนี้ ทำให้เรามีหลักการในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเรากินอะไรหรือไม่กินอะไร จะรับงานอะไรหรือไม่รับงานอะไร จะคุยกับใครจะคบกับใคร ยกตัวอย่างง่ายๆ งานพิธีกรงาน event ต่างๆ ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสุรา เหล้า พี่ไม่รับ ต่อให้เงินมากพี่ก็ไม่รับ หรือเรื่องการทำงาน เช่น partner บางคนอยากทำงานกับบริษัทเรา แต่คุยไปคุยมา เป็นการรับงานราชการมา ดึงเปอร์เซ็นต์เอาไว้ สรุปคือโกงบ้านโกงเมืองมาแล้วเอาเงินที่เหลือมาจ้างเราทำงาน พี่ก็บอกว่าเราไม่ทำ หลักการมันก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ แต่มันทำให้เราเลือกดำเนินชีวิตของเราได้ ศีลมันคือเกราะของตัวเรา เกราะของความประพฤติ ไม่มีใครเลือกให้เราได้นอกจากตัวเราเองว่าเราจะทำอะไร คบกับใคร ทำงานอย่างไร มันก็มีอยู่แค่นี้แหละ 5 ข้อง่ายๆคะ”

อยากทราบว่า การใช้ธรรมะยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่ เกิดขึ้นได้อย่างไร

“พี่มีรุ่นพี่คนหนึ่ง เป็นรุ่นพี่ที่สนิทกันมากเหมือนเป็นญาติเลย และในฐานะวัยรุ่นใจร้อนคนหนึ่ง เวลามีปัญหา ทะเลาะกับแฟน เลิกกับแฟน ทะเลาะกับพ่อแม่ ทะเลาะกับเพื่อน รถติด ปัญหาเด็กๆ ที่ทุกคนเป็นหมด พี่ก็เอาไปปรึกษาพี่คนนี้ เขาก็จะมีวิธีแก้ปัญหามาให้พี่ ซึ่งทุกครั้งที่ทำตาม หรือว่าฟังหลักการแล้วดูมีเหตุมีผล ก็ค่อยๆ ทำตามมาเรื่อยๆ แต่เขาไม่เคยบอกเลยว่าสิ่งที่เขาสอนเรานั้นคือ ธรรมะ จนพี่อายุเกือบ 20 อยู่แล้ว เขาจึงค่อยๆ บอก ค่อยๆ พูดคำที่เป็นธรรมะขึ้นมาบ้าง พูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพี่เป็นคนดื้อ แล้วก็ไม่เชื่อใครง่ายๆ เขาก็พูดให้ไปลองทำเอง จนตอนหลังพี่ถึงรู้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เขาสอนคือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ว่า มันดีอย่างนี้ เราก็เลยค่อยๆ เข้ามาเริ่มศึกษาเอง แล้วเราก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ทำเอง ปฏิบัติบ้าง อ่านบ้าง มันก็เลยทำให้พี่ค่อยๆเห็นประโยชน์ด้วยตัวเอง คือบางคนชอบคิดว่า คนหันมาทางธรรมะจะต้องแบบเคยประสบปัญหาชีวิตใหญ่หลวง แล้วจะหันหน้าเข้าวัด ซึ่งพี่อยากให้มองตรงนั้นใหม่ พี่เจอคนเยอะแยะนะคะ ที่เป็นคนดี ปฏิบัติธรรม มีธรรมะในใจ แล้วเขาก็มีความสุขดีในชีวิต

จุดเริ่มต้นของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน แต่ทุกคนเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ให้อะไร ท้ายที่สุด ตัวน้องจะรู้เอง ถ้าใครสวดมนต์ เขาบอกว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ ปัจจัตตัง แปลว่ารู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น คือต่อให้พี่บอกน้องว่า เกลือมันเค็มมากเลยนะ แต่น้องเกิดมาไม่เคยกินเกลือ ให้พี่พูดว่ามันเค็มอีกสัก 3 วัน ก็จะไม่รู้ จนกระทั้งได้กินเอง จึงจะรู้ว่าเค็มมันเป็นอย่างนี้ ฟังไปเถอะคะ บางทีบางเรื่องเราฟังวันนี้ เราไม่รู้เรื่อง เราไม่เข้าใจแต่พอวันที่น้องเข้าใจว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง และธรรมะก็คือแบบนั้น คืออ่านเท่านั้นก็ไม่รู้ จนกว่าน้องจะรู้ด้วยตนเอง”

อะไรคือสิ่งที่พี่ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตค่ะ

“สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดในทุกวันนี้คือ การที่ทุกวันนี้พี่ดูแลพ่อแม่ได้ ดูแลครอบครัวได้ ครอบครัวในที่นี้คือ คุณยาย หรือบ้านคุณยาย แล้วก็อีกอย่างที่ภูมิใจมาก และบางคนก็ยังไม่สามารถทำได้ เพื่อนพี่บางคนก็ยังทำไม่ได้ ก็คือพาพ่อแม่เข้าวัด พี่เป็นคนแรกในบ้านที่เริ่มเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาแล้วก็เข้าวัด และในช่วงแรกพ่อแม่ ก็ต่อต้าน จะไปทำไมวัดต่างจังหวัด มันไกล ขับรถอันตราย อยู่กรุงเทพก็ได้ แต่พี่ใช้เวลาเป็นปี ในการค่อยๆให้ความรู้ สร้างศรัทธาด้วยวิธีการต่างๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ พ่อแม่พี่ก็หันมาสนใจเรื่องนี้

คนชอบถามว่าเราจะตอบแทนพ่อแม่ยังไงดี ก็ต้องกลับมาถามว่าพ่อแม่ให้อะไรเรา พ่อแม่ให้ชีวิตเรา เราควรจะให้ชีวิตพ่อแม่กลับ แล้วการให้ชีวิต จะให้ยังไง ก็คือให้ชีวิตในอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน การดูแลท่าน เป็นเรื่องพื้นฐานที่ลูกทุกคนควรต้องทำ แต่ชีวิตในอนาคตที่ดีกว่า ก็คือทำให้เขามีเสบียงไว้เลี้ยงตัวเอง สมมติในอนาคตเขาจะต้องไปมีชีวิตใหม่ข้างหน้า ในโลกหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เขาต้องพาติดไปกับตัวเองด้วยก็คือบุญที่เขาสร้างมาวันนี้ กรรมที่เขาสร้างมาวันนี้ ทำให้เขาเข้าใจแล้วทำให้เขาสร้างชีวิตใหม่ของตัวเองให้ดีในวันข้างหน้า”

สุดท้ายนี้ พี่อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ในคณะบัญชี หรือน้องๆ อยากจะเข้าคณะบัญชี จุฬา บ้างค่ะ

005“อยากจะฝากให้น้องๆ ที่กำลังจะเข้ามาเรียนว่า ขอให้ใช้ชีวิตให้มันเต็มที่ คือทั้งเรียน เพื่อน ทุกอย่าง กิจกรรม เก็บประสบการณ์เยอะๆ แต่ว่าคำว่าเต็มที่ คือไม่ใช่การอัพยาปาร์ตี้ ไม่ใช่อย่างนั้น คืออย่าให้ตัวเองหันกลับมามองแล้ว รู้สึกว่าทำไมเราไม่ได้ทำสิ่งนั้น ไม่ได้ทำสิ่งนี้ในเวลานั้น ขณะที่เรายังมีโอกาส ก็ฝากเอาไว้ เปิดโลกให้กว้าง อย่าคิดว่าอยู่ตรงนี้เก่งแล้ว มันมี จุดที่ดีกว่า แต่สำหรับมนุษย์มันไม่มี จุดที่ดีที่สุด คะ มันมีคนที่ดีกว่าเราเรื่อยๆ ไม่มีทางที่เราจะเป็นคนที่ดีที่สุดได้ เรามีสิทธิพลาดแต่อย่าพลาดในเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก พลาดก็ไม่เป็นไร ก็ทำใหม่ เพราะคนเราพลาดได้อยู่แล้ว คนที่ไม่พลาดก็คือคนที่ไม่เคยทำ เพราะฉะนั้นทำไปเถอะ แค่อะไรก็ตามที่น้องมีความคิดว่า น้องอยากจะทำ มันแปลว่าน้องมีศักยภาพที่จะทำได้สำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง และทำให้มันดี และอย่าคิดถึงแต่ตัวเอง ให้คิดถึงคนอื่นก่อนบ้าง คือคนทุกคนพี่รู้ว่ามีความคิดถึงตัวเองอยู่แล้ว แต่คิดถึงคนอื่นบ้างนะคะ เริ่มจากที่บ้าน เริ่มจากทีละนิดทีละหน่อย แล้ววันหนึ่งน้องจะรู้ว่า คุณค่าของคนอยู่ที่ว่าตัวน้องรู้ว่าน้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นมากแค่ไหน ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แล้วพอถึงวันนั้นนะ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกเลยว่าน้องมีค่า เพราะน้องรู้ด้วยตัวเองว่าน้องมีค่าจริงๆ”