tunsiricapture

รบกวนให้พี่ช่วยแนะนำตัวด้วยค่ะ

“พี่โค้ช สิริลักษณ์ พี่เก่ารุ่น Shi 44 จบปริญญาตรี จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทจาก MBA – Finance and management, Scranton University, Pennsylvania, U.S.A. พี่สิริลักษณ์ เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ(Motivational Speaker) ซึ่งได้รับเชิญไปพูดในหลายหน่วยงาน นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์ในรายการ โทรทัศน์และนิตยสารหลายฉบับด้วยค่ะ”

ช่วงเวลาที่พี่เรียนอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่ใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างไร ได้ทำกิจกรรมอะไรบ้าง และมีเทคนิคการเรียนอย่างไร

“ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯจะเป็นเหมือนนกน้อยในกรงทอง คุณพ่อคุณแม่จะเลี้ยงแบบไม่ให้ไปไหนเลย ฉะนั้นพอเข้าคณะบัญชีได้ก็เหมือนนกออกจากกรง มีอิสระ มาก ชีวิตในวัยเรียน พี่โดดเรียนประจำเลย เวลาโดดเรียนมันตื่นเต้นดี นอกห้องเรียนเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีอิสระ ไม่เคยได้ไปเที่ยวก็ได้ไป ได้ไปรับน้องที่ต่างจังหวัด ฝึกซ้อม เชียร์อยากจะบอกว่า ชีวิตคนเราถ้าจะ ประสบความสำเร็จ มันไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดหรือไม่จำเป็นต้องเก่งเหนือคนอื่น เพียงแต่เราต้องรู้หลักการใช้ชีวิตเท่านั้นเอง”

พี่มีความผูกพันและประทับใจในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างไรบ้างคะ

“สำหรับเพื่อนๆก็ผูกพันกันมาก เพราะชีวิตเรามีแต่เพื่อนและรุ่นพี่ พอออกจากห้องเรียน มีเวลาว่างก็จะนั่งกับเพื่อนในกรุ๊ป พี่อยู่สองกรุ๊ป คือ ข3 และสมทบ ไปๆมาๆอยู่สองกรุ๊ปนี้ พี่มีเพื่อน ค่อนข้างเยอะในสองกลุ่ม มีความผูกพันกัน เพราะไปเที่ยวกันประจำ เวลาเรียนก็จะนั่งติวกันก่อนสอบ สำหรับท่านอาจารย์ สมัยก่อนเราเป็นเด็กเลยรู้สึกว่าคนละรุ่นกัน คือพี่ไม่ค่อยสนิทกับ อาจารย์แต่ละท่านเท่าไร ทำให้ รู้สึกว่าความผูกพันระหว่างตัวพี่เองกับอาจารย์มีไม่ค่อยมากเท่าไร ชีวิตตอนเรียนก็คือจะติดเพื่อนมากกว่าค่ะ”

การเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีส่วนในชีวิตประจำวันของพี่ทุกวันนี้อย่างไรบ้าง

“มันต้องเริ่มที่ ถ้าหากถามว่าทำไมต้องเลือกเรียนบัญชี จุฬาฯ พี่อยาก บอกว่าจริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจคือตามเพื่อน เพราะเพื่อนคนหนึ่งมีพี่ชายที่เขาเรียนบัญชี จุฬาฯอยู่ ก็เลยเรียนตามโดย ไม่มีเป้าหมาย แต่พอมาถึงวันนี้แล้วมองย้อนไป จึงได้รู้ว่าการเรียนบัญชีนั้นจะรับประกันในเรื่องการตกงาน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ หลังจากที่จบแล้วได้มาทำงาน ทำให้รู้ว่าพี่โชค ดีมากเพราะได้เรียนสิ่งที่เป็น พื้นฐานบัญชี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับวิชาชีพที่ทำงานอยู่ เป็นส่วนที่ช่วยทำให้พี่สามารถมาถึงตำแหน่งนี้ได้”

พี่เตรียมตัวอย่างไรบ้าง หลังจากเรียนจบที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“หลังจากเรียนจบ พี่มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา อันนี้ชัดเจนว่าอยากไปอเมริกา การเตรียมตัวก็มีการติวภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพราะเรารู้ว่าภาษาอังกฤษของเ รายังไม่แข็ง ต้องมีการสอบ TOEFL และ GMAT มีการเรียนกวดวิชาเยอะมาก มุ่งมั่นมากเพราะอยากไปให้ได้ พี่เลือกมหาวิทยาลัยที่มี Requirement ของ TOEFL และ GMAT ค่อนข้าง สูง พอไปสอบ ก็สอบได้ ดีใจมากที่มีโอกาสได้ไปเรียนปริญญาโท MBA ที่อเมริกาค่ะ”

การเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มีส่วนช่วยให้พี่มาถึงวันนี้ได้อย่างไร และพี่ได้นำสิ่งที่ได้มาไปใช้ในการประกอบวิชาชีพในปัจจุบันได่อย่างไรคะ

“ก่อนที่พี่จะมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ พี่ทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีอยู่สิบกว่าปี ชีวิตในช่วงนั้นได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมาจากคณะบัญชีอย่างเต็มที่ ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ ทุกท่านเป็นอย่างมากที่ประสิทธิประสาทวิชาการบัญชีให้ เพราะถ้าไม่มีความรู้ด้านบัญชีติดตัว จบออกไปก็ไม่รู้จะทำอะไรนะคะเนี่ย

พี่มีโอกาสได้ทำงานเป็นผู้จัดการบัญชี ซึ่งได้ใช้ความรู้จากเรียนเยอะมาก แต่อยากจะบอกว่า ความรู้ที่เราใช้นั้น มันก็ไม่ได้ใช้ทั้งหมดที่เรียนมา อาจใช้แค่ 50-70% เท่านั้น นอกนั้นจะเป็น เรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นดังนั้นเวลาเราใช้ชีวิตจริง การเรียนก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เรียกว่า การเรียนเพื่อจะมีทักษะไปประกอบอาชีพ เป็น work skill หรือ job skill แต่ยังมีอีกส่วน หนึ่งที่เรียกว่า life skill เป็น ทักษะในการใช้ชีวิตซึ่งสำคัญมากเช่นกัน ขอให้น้องๆให้ความสำคัญกับทั้งสองอย่างทั้ง work skill และ life skill ตอนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยก็แบ่งเวลาให้ กับการเรียน และแบ่งเวลาอีกส่วนทำกิจกรรมอื่นๆ สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆเอาไว้ ใช้เวลาให้เหมาะสมนะคะ”

capture2พี่ได้วางแผนในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้นคะ

“หลังจากที่ได้ค้นพบตัวเอง พี่ก็เริ่มรู้ตัวว่าตนเองรักงานด้านการพูดสร้างแรงบันดาลใจมาก พี่มีโอกาสไปทำสัมมนาให้กับ องค์กรมากมาย ยิ่งทำยิ่งมีความสุข จากผู้ฟังกลุ่มเล็กก็พูดให้คนฟังกลุ่มใหญ่ขึ้น

สิ่งที่พี่ทำมาพี่คิดว่า ทุกๆย่างก้าวของเราคือความสำเร็จ หลายๆคนชอบตั้งเป้าหมายไว้สูง ซึ่งไม่จำเป็นนะคะ นิยามความสำเร็จอยู่ที่เราเป็นคนตั้ง บางคนตั้งไว้ไกลเกินแต่ละวันก็คิดว่าฉันทำไม่สำเร็จ เราลองตั้งความ สำเร็จที่เป็นของตัวเอง ความสำเร็จของพี่ คือการที่พี่ได้ทำอะไรที่พี่รัก ได้สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น การที่พี่ ตั้งใจทำอะไรแล้วพี่ทำได้ พี่ก็คิดว่าชีวิตพี่สำเร็จแล้ว ความสำเร็จเล็กๆน้อยๆจะพัฒนาไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่ง ใหญ่มากขึ้น

พี่เติบโตมาเรื่อยๆจากการเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ จากที่มีคนรู้จักน้อย ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ มีการออก pocket book หลายเล่ม ซึ่งติด Best Seller ทุกเล่ม และรายการโทรทัศน์ชื่อดัง “สุริวิภา” ก็ได้เชิญไปสัมภาษณ์เพื่อสอน วิธีปลุกยักษ์ในตัวเรา 8 ขั้นตอน นิตยสารต่างๆก็สัมภาษณ์เยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็น Cosmopolitan ดิฉัน ขวัญเรือน Secret เมื่อมีโอกาสออกสื่อมันเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีคนเชิญไปบรรยาย มาก ขึ้น เป้าหมายชีวิตก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น ความฝันก้าวต่อไปก็คือ พี่อยากเป็นนักพูดระดับ world class เพราะตอนนี้อยู่ระดับ ประเทศ พี่คิดว่าการจะเป็นระดับ world class นั้น เราต้องมีความสามารถสูงจริงๆ และถ้าโกอินเตอร์ได้จะต้องเป็นที่ฮือฮา มากแน่ๆ เพราะคนไทยที่เป็นนักพูดระดับสากล โดยเฉพาะนักพูดที่เป็นผู้หญิงไทยยังไม่เคยมีในระดับโลกมาก่อน ก็เป็น อะไรที่น่าตื่นเต้นและเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากพี่ร้างลากับภาษาอังกฤษมานาน แผนตอนนี้คือฟื้นเรื่องของ ภาษา ต้องมีการเตรียมตัวในการพูดสร้างแรงบันดาลใจเป็นภาษาอังกฤษ และจะต้องวางแผนให้ดีว่าเราจะทำการตลาด อย่างไรให้เข้าไปถึงกลุ่มคนต่างชาติเพื่อให้เขาได้มีโอกาสฟังการบรรยายของเรา นี่คือขั้นตอนต่อไปที่มีแผนไว้แล้วว่าจะ ต้องโกอินเตอร์”

พี่คิดว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจ ให้พี่มาทำอาชีพนี้คะ

หลายคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมเป็นนักบัญชีอยู่สิบกว่าปีแล้วกลายมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย
“ตอนที่พี่ทำบัญชีอยู่น้องๆเชื่อไหมคะว่า พี่เป็นคนที่ เฉิ่ม เชย โลกแคบ พูดน้อย เดินเหินเชื่องช้า ใส่แว่นหนาเตอะ ผมบ๊อบ และเป็นคนที่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เรียกว่าเป็น “ซู เปอร์ซิ้ม”แต่ปรากฏว่ามีช่วงหนึ่งของชีวิต น้องสาวคนที่สามถูกชวนไปทำธุรกิจเครือข่ายขายตรง(MLM) ทีนี้พอเราถามอะไรไป เขาตอบไม่รู้เรื่อง พี่คิดว่าโดนหลอกแน่ๆ เลยช่วยตามไป ดู พอเข้าไปในที่ประชุม เห็นคน มาฟังเต็มไปหมด ปรบมือเฮฮากันเสียงดัง เราก็ตื่นเต้นว่า มีโลกแบบนี้ด้วย ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนนั้นน้องสาวชวนทำธุรกิจนี้เป็นเพื่อน ก็เลยลองทำดู เอา เวลาช่วงเย็นและวันเสาร์-อาทิตย์ไปศึกษาดูว่าเป็นอย่างไร พอเริ่มพาตัวเองเข้าไปในกลุ่มคนที่กระตือรือร้นและมีไฟ ทำให้เรามีไฟตามไปด้วย เราอยากพัฒนาตนเอง อยากสำเร็จเหมือน คนอื่น จึงได้เรียนรู้ อ่านหนังสือ และเข้าสัมมนาหลายอย่างใน ช่วงนั้น ก็เป็นโอกาสที่ดีมากในการเปิดตัวเองพอเข้าทำไป 3-4 เดือนแรก เราก็เห็นว่า ทำไมแม่ค้าขายไส้กรอกมียอดขาย มากกว่าเรา ทำไมคนงานร้านทำผมเขามีทีมงานใหญ่โตกว่าเรา ทั้งๆที่ศักยภาพของเขาก็น้อยกว่าเราตั้งเยอะ เราเป็นผู้จัดการ ทำไมเราสู้เขาไม่ได้ ตอนแรกก็ให้เหตุผลตัวเองว่า เราพูดไม่ เก่ง เรารู้จักคนน้อย เราไม่มีเวลา ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้วแต่พอได้เรียนรู้กับปรมาจารย์ระดับโลก ชื่อ Anthony Robbins ซึ่งเขาเป็นโค้ชด้านการสร้างความสำเร็จอันดับหนึ่งของโลก เขาบอกว่า “ถ้ามีอะไรที่เราอยากทำ แล้วทำไม่ได้ ให้สำรวจตัวเองก่อนว่า ทำไมเราทำไม่ได้ เกิดจากอะไร ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก” พอเรามาสำรวจตัวเอง เชื่อ ไหมคะพี่ร้องไห้เป็นชั่วโมงเลย พี่ไม่เคยเห็นตัวเองทุเรศแบบนี้มาก่อน พี่เพิ่งเห็นว่า ตัวเองเป็นคนที่อ่อนแอ จับจด ไม่ มุ่งมั่น ไม่ทำอะไรจริงจังในชีวิต เมื่อได้เห็นความจริงแบบนี้ จึงได้รู้ว่า ทำไมชีวิตถึงไม่ไปไหนซะที ทำไมชีวิตถึงไม่สำเร็จ นอกจากนี้ Anthony ยังสอนอีกว่า “ให้เราพลิกเอาความเจ็บปวดที่เรามีอยู่ มาเป็นพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่าจมอยู่กับที่ จมอยู่ กับความเสียใจ ให้พลิกเป็นพลังผลักดันตนเองพัฒนาให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้อีก” พี่จึงตัดสินใจว่า “ฉันต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ฉันอยากสำเร็จ ฉันอยากเก่ง สุดยอด” ก็เลยตั้งใจมาก ทั้งอ่าน หนังสือและเข้าสัมมนา บินไปเรียนต่างประเทศกับกูรูเก่งๆหลายท่าน ลงทุนให้กับตัวเอง ฝึกทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้มา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักอ่านหนังสือแล้วผ่านเลยไป แต่พี่ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ อ่านแล้วทำแบบฝึกหัดทุกอย่างที่หนังสือบอก เข้าสัมมนาเรียนอะไรมา ก็เอามาใช้ในชีวิต เช่น ฝึกเปลี่ยนความคิดใหม่ จากความคิดลบเปลี่ยนให้เป็นความคิดบวกบ่อยๆ สร้างพลัง ความ เชื่อมั่นให้กับตนเองว่า เราเก่ง! เราทำได้! เราสุดยอด! พูดบวกให้พลังกับตัวเอง เปลี่ยน Physiology การเคลื่อนไหวร่างกายให้กระฉับกระเฉง ใช้จินตนาการเห็นภาพชีวิตที่เราใฝ่ฝัน ใส่ พลังความเชื่อเข้าไปว่า เราสร้างชีวิตที่เราใฝ่ฝันได้ เชื่อไหมคะว่า ชีวิตพี่เปลี่ยนอย่างมหาศาล ความมั่นใจสูงขึ้นมาก ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ พอพัฒนาตัวเองยกระดับขึ้นไปจึงเห็นว่า ศักยภาพของคนเรามี เยอะจริงๆ เราจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่เขาไม่รู้และไม่มั่นใจในตัวเองว่าเขามีศักยภาพมากมาย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้พี่อยากสอนอยาก ถ่ายทอดสุดยอดเคล็ดวิชาการพัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดดนี้ให้แก่คนอื่น อยากเห็นชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ตอนที่พี่ทำบัญชี พี่ก็ชอบและมีความสุขเหมือนกันนะคะ คิดว่ารูปแบบชีวิตแบบนี้นี่แหละที่ฉันชอบ สงบ เรียบง่าย ไม่ต้องไปขวนขวายกระตือรือร้นอะไรมากมาย อ่าน หนังสือ ปฏิบัติธรรม ฝึกจิตตัวเองไป แต่ชีวิตกลับไม่ค่อยมีพลัง เพราะมันนิ่งเรียบเงียบสงบจนกลายเป็นความเอื่อยเฉื่อยเกินไป พอเราเริ่มเปิดตัวเอง ออกไปทำสิ่งอื่น มากขึ้น ทำให้เริ่มเห็นตัวตน ที่แท้จริง ได้เห็นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวเอง และเห็นแรงบันดาลใจที่แท้จริงของตัวเอง

Passion หรือแรงบันดาลใจของพี่ คือ การที่ได้มีโอกาสแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ดีๆ ได้มีโอกาสสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจ พัฒนาศักยภาพ ให้กับคนอื่นๆ เพื่อให้เขาเข้าถึงศักยภาพภายในที่ยิ่งใหญ่ พี่อยากเห็นชีวิตของพวกเขามีความสุข ประสบความสำเร็จ มั่งคั่งร่ำรวย มีสิตปัญญาที่สูงขึ้น เข้าถึงความสุขสงบภายในที่มากขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นการ เปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของพี่”

พี่มีคติประจำใจในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้างคะ

“คติประจำใจของพี่คือ “ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถจะทำได้ เป็นคนยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราสามารถจะเป็นได้” และเราต้องเชื่อมั่นว่า “เราสามารถทำได้ทุกอย่างที่เราอยากจะทำ เรา สามารถมีได้ทุกอย่างที่เราอยากมี เราสามารถเป็นได้ทุกอย่างที่เราอยากจะเป็น ถ้าเรามีความปรารถนาที่แรงกล้าและลงมือทำมากเพียงพอ” เราก็จะทำทุกอย่างสำเร็จได้”

อะไรคือสิ่งที่พี่ภูมิใจมากที่สุดในชีวิตคะ

“สิ่งที่พี่ภูมิใจมากที่สุดคือ การได้ช่วยเหลือและเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนจำนวนมาก เพราะการสัมมนาแต่ละหลักสูตร เป็นการสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจทำให้ชีวิตก้าวกระโดดหรือ ทำให้รูปแบบชีวิตเปลี่ยนไป ซึ่งมีผลลัพธ์ให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนมากมาย

มีคนที่อ่านหนังสือและเข้าสัมมนาเขียน email หรือ facebook มาเล่าให้ฟังอยู่เป็นประจำว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากขนาดไหน บางคนมีความสุขภาคภูมิใจในตัวเอง มากขึ้น บางคนตกหลุมรักชีวิตตัวเอง บางคนมีความกล้าหาญมากขึ้น บางคนมีความมุ่งมั่นในการเดินตามความฝันของตัวเอง บางคนบอกว่าชีวิตครอบครัวที่กำลังจะล่มสลายกลับกลายมา มีความสุขอีกครั้ง บางคน บอกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของชีวิต บางองค์กรผู้บริหารเขียนมาขอบคุณบอกว่าช่วยให้บริษัทของเขาพ้นวิกฤต บางองค์กรยอดขายพุ่งกระฉูด แบบมหัศจรรย์เพราะทีมขายมีพลังมากขึ้น

สิ่งที่พี่สอนในงานสัมมนานั้น พี่จะชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มักโทษสิ่งอื่นรอบตัว แต่เรามักไม่หันกลับมาดูตัวเอง พี่สอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง รับผิดชอบต่อความคิด คำ พูด และการกระทำของตัวเราเอง ถ้าเราคิด พูด และทำแบบใหม่ ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นแบบใหม่เชื่อไหมคะว่า แค่คิดบวก ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่รู้ทฤษฎี แต่ก็ไม่เอา ไปลงมือทำ การพูดบวกคือให้ พูดดีๆกับตัวเองและผู้อื่น แต่เราก็ไม่พูดดีๆ กลับชอบตำหนิตัวเอง หากเราดูถูกตัวเองแล้ว ใครจะมาชื่นชมและเชื่อมั่นในตัวเรา ขอให้เปลี่ยนใหม่ เราต้องต้อง คิดบวก พูดบวก ทำบวก คิดดี พูดดี ทำดี กับตัวเองและผู้อื่น ชีวิตก็จะสำเร็จได้ง่ายมาก เราสามารถสร้างชีวิตของเราให้สุดยอดแบบไหนก็ได้ เพียงแค่เรารู้วิธีการเท่านั้นเอง

สุดท้ายนี้ พี่อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ในคณะบัญชี หรือน้องๆ ที่อยากจะเข้าคณะบัญชี จุฬา บ้างคะ

“สำหรับน้องๆมัธยมปลาย น้องจะต้องรู้ว่า ตัวเองชอบอะไร อย่าเรียนตามกระแส พี่อยากจะบอกว่า ไม่จำเป็นว่าจะต้องเรียนตามที่พ่อแม่บังคับ เนื่องจากพ่อแม่หลายๆท่านบังคับลูกให้ เรียนในสิ่งที่ตนเองชอบแต่จริงๆเด็กไม่ได้ชอบ ความถนัดไม่มี ใจที่จะเรียนก็ไม่มี จบออกมาจะสำเร็จได้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทำในสิ่งที่ตรงกับหัวใจมันเรียกร้อง เราชอบอะไรเรารู้ตัวเอง แต่เราต้องมีความรับผิดชอบ มุ่งมั่นตั้งใจ ใฝ่ฝันและทำมันให้ได้ มองไปในอนาคตว่า ถ้าชีวิตนี้ไม่มีข้อจำกัด เลย เราอยากจะทำอะไร อยากมีอาชีพอะไร อยากมีชีวิตแบบไหน พอรู้ว่าอนาคตอยากเป็นแบบไหนก็ถอยลงมาว่าปัจจุบันต้องทำอะไร เน้นไปเลยว่าเราต้องมีความรู้ด้านไหนที่จะทำให้ เราได้เป็นแบบนั้น หาเส้นทาง เดินไปทำความฝันเราให้ได้สำหรับน้องๆที่เรียนอยู่คณะบัญชีแล้ว ก็อยากให้น้องๆสนุกกับมัน ถ้าไม่สนุกกับมันเรียนผ่านๆไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ต้องเรียนอย่างตั้งใจ แบ่งเวลาให้เป็น และก็คล้ายๆกันคือ น้องต้อง รู้ว่าเมื่อเรียนจบไปแล้ว น้องอยากมีชีวิตแบบไหน อยากประสบความสำเร็จระดับไหน อยากมีรายได้มาก อยากมีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจหรือไม่ ถ้าเราอยากสำเร็จ ปัจจุบันก็ต้องขวนขวายหาความรู้ ถ้าเราไม่มีความรู้ ความสำเร็จก็ไม่เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าเราไม่เก่ง พื้นฐานไม่ดีคนอื่นก็ไม่ยอมรับเราที่สำคัญถ้าน้องคนไหนเรียนแล้วคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เช่น บางคนมีหัวทางศิลปะมาก แต่ไม่ได้ชอบเรื่องตัวเลขเท่าไรเลย หัวเกี่ยวกับเลขก็ไม่ค่อยจะแล่น แล้วบัญชีมันก็เกี่ยวกับตัวเลขทั้งนั้น ทู่ซี้เรียนไปก็เครียด ผลการเรียนออกมาไม่ดี ทำให้ เบื่อกับการเรียนเข้าไปใหญ่ ความมั่นใจก็ลดลงไปเรื่อยๆ พี่อยากบอกว่า น้องสามารถเปลี่ยนคณะเรียนได้ แต่น้องต้องมีความรับผิด ชอบชีวิตตัวเองนะ ไปเริ่มต้นใหม่ทำสิ่งที่เรารัก คุย กับคุณพ่อคุณแม่ก่อนเพราะชีวิตต้องhappyทุกฝ่าย ต้องรู้ชัดว่าเราชอบอะไร และต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงกับสิ่งใหม่ที่น้องเลือกด้วย นะคะ สิ่งที่พี่อยากฝากไว้ในการดำเนินชีวิตให้ ประสบความสำเร็จคือ ให้ทำในสิ่งที่เรารักและถนัด มีความฝันและ เป้าหมายที่ชัดเจน อยากมีชีวิตแบบไหน อยากสำเร็จแบบไหน อยากมี ความสุขในชีวิตแบบไหน ให้เราเขียนความ ฝัน เขียนเป้าหมายไว้ให้ชัดเจน แล้วหาเส้นทางเดินหน้าไปหาความฝันเรา ใส่ความมุ่งมั่นตั้งใจลงไปให้เต็มร้อยหรือเกินร้อย เดินทุกวันทำทุก วัน โฟกัส กับความฝันและเป้าหมาย ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนวิธีการบ้างถ้าจำเป็น เดินไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุด แล้วความฝันของเราจะ ปรากฏเป็นความจริง”